top of page

รู้จัก “เหล้าอิตาลี” ที่มีดี มากกว่าความเมา


อีกสิ่งหนึ่งที่โด่งดังในประเทศอิตาลี ไม่ใช่แค่เรื่องไวน์อันเลื่องชื่อเท่านั้น แต่ยังมีความโด่งดังของเหล้าอีกหลายชนิด ที่กลายมาเป็นส่วนผสมสำคัญของค็อกเทล ซึ่งมักมีจุดเริ่มต้นมาจากการทำในครัวเรือนเพื่อต้องการทำเป็นยาบรรเทาโรคต่างๆ ทำให้ในปัจจุบันชาวอิตาลียังนิยมดื่มเหล้าแต่ละชนิดในช่วงเวลาที่ต่างกันเพื่อช่วยเรียกน้ำย่อย รวมไปถึงยังช่วยย่อยอาหารได้

ไปดูกันว่ามีเหล้าอิตาลีชื่อดังตัวไหนบ้างที่เราคุ้นเคย และมีประโยชน์มากกว่าที่เราคิดกันบ้าง

Amaro

เหล้า Amaro ภาษาอิตาลีแปลว่า #ขม มีจุดเริ่มต้นจากการทำยา คิดค้นโดยนักบวช มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เพื่อใช้เป็นยาช่วงแรกเริ่มในเมืองมิลาน ต่อมามีการเสิร์ฟช่วงหลังมื้ออาหารมื้อพิเศษเพื่อช่วยย่อย ก่อนจะกลายเป็นที่นิยมไปทั่วอิตาลี และมีการต่อยอดด้วยการผสมด้วยสมุนไพร เครื่องเทศไปจนถึงผลไม้ ดอกไม้อีกหลายชนิด

รวมถึงกระวาน และดอกอัลเดอร์เบอร์รี่ (Elderberry)

และถูกนำไปหมักบ่มต่อในถังไวน์นานหลายปี จึงเป็นเหล้าที่มีรสชาติซับซ้อน ทั้งกลิ่นเครื่องเทศและรากไม้ มีรสชาติขม อมหวาน เผ็ดเครื่องเทศ โดยมีการเพิ่มเติมสูตรแตกต่างกันไป แตกแขนงออกไปเป็นอีกหลายยี่ห้อ แต่แบรนด์ที่ดังในด้านนี้เห็นจะต้องยกให้ Fernet Branca ส่วน Amaro Braulio ก็เป็นอีกแบรนด์ที่มาจากแคว้นที่โด่งดังจากการผลิตไวน์นามว่าหุบเขาวาลเทลลินา (Valtellina) ซึ่งอยู่ในแคว้น Lombardy ตอนเหนือของอิตาลี Amaro นิยมเสิร์ฟหลังอาหารแบบเพียว ดื่มกับน้ำแข็ง หรือบางทีก็นิยมเสิร์ฟพร้อมกาแฟ

Amaretto

เป็นเหล้าที่เริ่มต้นผลิตช่วงศตวรรษที่ 16 โดยแม่หม้ายที่ทำเหล้าชนิดนี้ให้ศิลปินที่เธอชื่นชอบ

เป็นเหล้าอีกชนิดที่ช่วยย่อยอาหาร จึงนิยมเสริ์ฟหลังอาหารเย็น

แม้ความหมายของชื่อจะแปลว่า #ขมเล็กน้อย แต่ตัวดั้งเดิมจริงๆ ของ Amaretto กลับมีรสหวาน

เหล้าอัลมอนด์อันโด่งดังที่เป็นส่วนผสมของขนมหวานและค็อกเทลหลากหลายชนิด สีเข้ม รสชาติหวานซึ่งส่วนประกอบก็ต่างไปตามแบรนด์ต่างๆ แต่ส่วนใหญ่ผสมด้วยน้ำมันอัลมอนด์ สมุนไพรหลายชนิด และน้ำมันที่ได้จากเมล็ดแอปริคอท จึงมักนิยมเสิร์ฟแบบออนเดอะร๊อค และยังมีการนำเหล้าไปทำค็อกเทลอมาเร็ตโตแบบเปรี้ยวด้วย

แบรนด์ชื่อดังของเหล้าตัวนี้คือ Disaronno ซึ่งผลิตในเมืองชื่อ Saronno ของแคว้น Lombardy ส่วน Averna เป็นอีกแบรนด์ที่ผลิตจากแคว้น Sicilian ซึ่งตัวนี้จะมีรสชาติขมอมหวาน

นอกจากเหล้าตัวนี้จะเป็นที่นิยมในบาร์แล้ว ชาวอิตาลียังชอบใช้ผสมในการทำขนมหวานจำพวกทีรามิสุ อะโฟกาโต้และพานาคอทต้า อีกด้วย

Anisette

เหล้าสีใสที่ได้จากการกลั่นมาจากของเมล็ดพืชโป๊ยกั๊ก (Anis) นี้จัดว่าเป็นเหล้าอีกตัวที่ดื่มง่าย

แม้ Anisette จะกลั่นจากโป๊ยกั๊กเหมือนเหล้า Sambuca แต่ถ้าเปรียบรสชาติแล้วจะหวานกว่า

นิยมดื่มในแถบประเทศเมดิเตอร์เนียน แบรนด์แรกที่ทำและโด่งดังมากคือ Marie Brizard Anisette

เริ่มมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1755 ซึ่งต้องการใช้เพื่อใช้เป็นยา จนภายหลังเป็นที่นิยมไปทั่วยุโรปโดยเฉพาะ สเปน ฝรั่งเศส และอิตาลี Anis มีคุณประโยชน์ทางยา ช่วยแก้ไอและเจ็บคอได้เป็นอย่างดี

เป็นเหล้าที่ไม่มีสี มักนิยมดื่มเพียวๆ หรือผสมน้ำ หรือไปผสมสูตรค็อกเทลได้อีกหลายเมนู

Sambuca

เป็นเหล้าที่เรียกได้ว่าเป็นญาติสนิทกับเหล้า Anisette

เพราะมันผลิตจากการกลั่น โป๊ยกั๊ก หรือ จันทน์แปดกลีบเหมือนกัน

เริ่มมีขายช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ในเมืองชีวีตาเวคเคีย(Civitavecchia) จนในปี 1945 เกือบใกล้สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้บังคับบัญชา Angelo Molinari เริ่มผลิต Sambuca Extra Molinari ที่ทำให้เจ้าเหล้าตัวนี้กลายเป็นที่นิยมไปทั่วอิตาลี Sambuca มีทั้งสีดำและสีขาว แต่สีขาวใสยังเป็นที่นิยมมากกว่า

โดยนิยมเสิร์ฟแบบเพียวๆ แบบออนเดอะร็อก บางครั้งมีการผสมน้ำ เสิร์ฟแบบจุดไฟ (Flaming Cocktail)

บางครั้งชาวอิตาลีนิยมผสมไปกับกาแฟ จนได้เป็นเมนูที่เรียกว่า caffè corretto

Campari

เหล้าสีแดงรสชาติจัดจ้านด้วยเครื่องเทศ มีจุดเริ่มต้นมากตั้งแต่ปีค.ศ. 1860 ณ เมืองโนวารา (Novara)

ในแคว้นปีเอมอนเต (Piedmont) ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอิตาลี โดย Gaspare Campari

และปัจจุบันมีการขายไปทั่วโลกกว่า 200 ประเทศ

Campari เป็นเหล้าที่ดื่มก่อนรับประทานอาหารเพื่อช่วยเรียกน้ำย่อย

เอกลักษณ์ของเหล้าชนิดนี้คือรสชาติจัดจ้านของสมุนไพรและเครื่องเทศกว่า 60 ชนิด ไม่ว่าจะเป็นเปลือกส้ม มะกรูด ผักรู-บาบ โสม และสมุนไพรหลากชนิด สามารถดื่มแบบออนเดอะร็อค อีกทั้งยังเข้ากันได้ดีกับวิสกี้และว็อดก้า หรือจะใช้ผสมเป็นเครื่องดื่มค็อกเทลง่ายๆ มักเสิร์ฟเรียกน้ำย่อยคู่กับ โทนิกหรือผสมเป็นส่วนหนึ่งของ Negroni cocktail หรือ Spritz cocktail แต่สำหรับชาวอิตาลียังผสมโซดาเข้าไปด้วย เรียกว่า ‘Aperitivo’

ทำให้รสชาติออกไปทางขมนิดหวานสมุนไพรหน่อย เครื่องดื่มนี้จัดว่าเป็นที่นิยมมาก

Frangelico

เหล้าสมุนไพรอีกชนิดที่ทั่วโลกจำจดด้วยสีน้ำตาลคาราเมลอันเป็นเอกลักษณ์และรูปลักษณ์อันดึงดูดของขวดแก้วที่ออกแบบมาจากรูปแบบของกลุ่มคณะนักบวชคาทอลิก คณะฟรานซิสกัน

เหล้าฟรานเจลิโคกำเนิดในปี ค.ศ.1980 ที่เมืองคานาเล แคว้นปีเอมอนเต (Piemontese) ของประเทศอิตาลี

โดยผู้ผลิตได้นำชื่อของจิตรกรชื่อดังที่เขาหลงใหลคือ Fra Angelico ที่ถึงแก่กรรมตั้งแต่ปี ค.ศ.1455

มาตั้งเป็นชื่อเหล้า แล้วออกแบบขวดเป็นรูปนักบวชฟรานซิสกันเพื่อสร้างจุดเด่น จนเหล้าตัวนี้โด่งดังในทันที

ต่อมาถูกซื้อโดยบริษัท Gruppo Campari แห่ง C&C Group ซึ่งเป็นมือหนึ่งในการทำตลาดเหล้า

ทำให้ฟรานเจลิโคโด่งดังเป็นที่รู้จักของคนทั้งโลกในปี ค.ศ. 2010

นอกจากเจ้าเหล้าตัวนี้จะมีกลิ่นสมุนไพรที่ชัดเจนแล้ว ยังมีกลิ่นแบบฮาเซลนัทอันเป็นเอกลักษณ์

เพราะทำจากฮาเซลนัท กาแฟ วานิลลา แอลกอฮอล์ น้ำตาล และสมุนไพรอิตาลีหลายชนิด

นอกจากดื่มได้เพียวๆ เป็นช็อตเล็กๆ แล้ว ยังนำไปทำเค้กช็อกโกแลต

และมักผสมในกาแฟหรือเอสเปรสโซ่ รวมถึงนำไปทำค็อกเทลหลายตัว

ซึ่งถ้าตัวไหนใช้เหล้าตัวนี้เป็นหลักมักจะมีชื่อห้อยท้ายด้วยคำว่า “Monk” เกือบทั้งสิ้น

Limoncello

เหล้าอิตาลีสีเหลืองอ่อน เช่นเดียวกับผลเลมอน ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของเหล้าตัวนี้

จึงมีทั้งกลิ่นและรสชาติความเป็นเลมอนชัดเจน ที่มีต้นกำเนิดมาจากครอบครัว Pallini ตั้งแต่ปีค.ศ. 1875

ผลิตจากเลมอนออแกนิกส์พันธุ์ Sfusato บริเวณแถบชายฝั่งอามัลฟี (Amalfi Coast) เป็นชายฝั่งทางตอนใต้ของคาบสมุทรซอร์เรนตีเน (Sorrentine Peninsula) ของประเทศอิตาลี เมืองนี้เป็นที่มีมะนาวเติบโตได้อย่างอุดมสมบูรณ์ จึงไม่น่าแปลกใจหากจะเป็นเมืองที่ผลิตเหล้าชนิดนี้ที่โด่งดังที่สุด

รวมไปถึงทะเลสาบการ์ดา (Lake Garda) ซึ่งมีเลมอนเยอะ

เหล้าชนิดนี้นิยมเสิร์ฟหลังอาหารเพื่อช่วยย่อย ชาวอิตาลีนิยมเสิร์ฟแบบเพียวๆ

หรือเสิร์ฟในแก้วช็อตแช่แข็ง แบบออนเดอะร็อค บางทีก็นิยมนำไปทำค็อกเทล เพื่อช่วยให้สดชื่น

เหมาะเป็นเหล้าต้อนรับซัมเมอร์ ด้วยกลิ่นและรสชาติของเลมอน หวาน ฝาด เปรี้ยวลงตัว และจัดจ้าน และยังนิยมไปทำอาหารหลายเมนูทีเดียว

Grappa

เหล้าสีอำพันเหลืองทองเกิดจากการกลั่นจากทั้งกากองุ่น เมล็ด และสิ่งที่เหลือกระบวนการทำไวน์

และนำไปหมักในถังบาร์เรล ต้นกำเนิดของเหล้าชนิดนี้ว่ากันว่ามาจากนักทำไวน์แถบเมืองทางเหนือของเมือง Bassano del Grappa ซึ่งอยู่ในแคว้นเวเนโต(Veneto) ทางเหนือของประเทศอิตาลี

เป็นที่ทำเหล้าชนิดนี้แบบดั้งเดิม รสชาติของเหล้าชนิดนี้จึงขึ้นอยู่กับพันธุ์ขององุ่นเป็นหลัก

แต่แอบซ่อนกลิ่นคาราเมลซึ่งมักมีอยู่ในคาแรกเตอร์ขององุ่น

โดยทั่วไปนิยมจิบในอุณหภูมิห้อง ’ จิบหลังอาหารเย็นซึ่งมีฤทธิ์ช่วยย่อยได้

Vermouth

เหล้าสมุนไพรที่ทำมาจากไวน์ บรั่นดี น้ำองุ่น สมุนไพร เครื่องเทศ รากไม้ เครื่องเทศ และดอกไม้

เหล้าชนิดนี้ถือกำเนิดมาตั้งแต่ยุคโรมันรุ่งเรือง ซึ่งกลายมาเป็นที่นิยมทั้งในประเทศฝรั่งเศส และประเทศอิตาลี

ในเวลาต่อมา เวอร์มุธซึ่งมีหลากหลายรูปแบบ ซึ่งให้กลิ่นและรสแตกต่างกันไป

ฝรั่งเศสถนัดทำเวอร์มุธแบบดรายและสีใส

ส่วนอิตาลีเด่นในการทำเวอร์มุทแบบหวานและมีสีแดง

ซึ่งมีชื่อเรียกเป็นภาษาอิตาลีว่า Bianco

เวอร์มุธสไตล์อิตาลีสีแดงนี้เกิดจากสีน้ำตาลที่ได้จากคาราเมล

Antonio B Carpano คือคนที่เริ่มผลิตมาตั้งแต่ประมาณปีค.ศ. 1786 ที่เมืองตูริน(Turin) เมืองหลวงของ

แคว้นปีเอมอนเต (Piemontese) ในประเทศอิตาลี ทำให้เหล้าตัวนี้แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว

นิยมดื่มเรียกน้ำย่อยแบบเพียวๆ บางคนนิยมใส่โซดา บางคนนิยมบีบเลมอนเพิ่มรสชาติเข้าไปทำให้สดชื่นยิ่งขึ้น

Strega

เหล้าสีเหลืองอิตาลีที่ผลิตมาจากหญ้าฝรั่น ซึ่งจัดเป็นสมุนไพรราคาแพงที่สุดอีกชนิดในโลก

มีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1860 โดย S. A. Distilleriain ที่เมืองเบเนเวนโต (Benevento) แคว้นกัมปาเนีย (Campania) ของประเทศอิตาลี

คำว่า “Strega” แปลว่า #แม่มด ซึ่งมาจากตำนานเรื่องแม่มดของเมืองที่เป็นต้นกำเนิด

แต่ทีเด็ดคือรสชาติหวานหอมของสมุนไพร ซ่อนด้วยรสมินต์ และยี่หร่า รวมไปถึงส่วนผสมลับอีกกว่า 70 ชนิด

ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยย่อยได้ดี

แนะนำให้ดื่มแบบเพียวเพื่อการได้ลิ้มรสที่แท้จริง

คนอิตาลียังนิยมนำเอาเหล้าตัวนี้ไปทำ Torta Caprese หรือเค้กอิตาลีที่มีส่วนผสมของช็อกโกแลต แป้งอัลมอนด์และวอลนัทซึ่งมีต้นหรับจากเกาะกาปรี ซึ่งเป็นเกาะในทะเลดิเตอร์เรเนียน อยู่ทางทิศใต้ของอ่าวเนเปิลส์ ในแคว้นกัมปาเนีย ของประเทศอิตาลี

 

นี่เป็นแค่เหล้าอิตาลี 10 ตัวที่โด่งดังไปทั่วโลก แต่จริงๆ แล้วยังมีเหล้าอิตาลี

อีกหลายชนิดที่มีทั้งคาแร็กเตอร์กลิ่น รสชาติ

และให้คุณประโยชน์ที่แตกต่างกันออกไป ชอบแบบไหน ลองไปหาชิมกันได้ หลายตัวมีขายตามร้านชั้นนำในประเทศไทย

แล้วอย่าลืมดื่มแต่พอดี ไม่ดื่มแล้วขับนะจ้ะ

Salute !!!

PHOTO & TEXT by Cooking At CASA

อนุญาตให้แชร์จากเวปไซท์เราไปได้เลยโดยไม่ต้องขออนุญาตนะคะ แต่ในกรณีที่นำข้อความและรูปไปใช้กรุณาขออนุญาตและให้เครดิตสักนิดค่ะ #ขอบคุณค่ะ


Search By Tags
Featured Posts
Recent Posts
Archive
bottom of page